- สนใจประกาศขายบ้าน
- สมัครสมาชิก / เข้าสู่ระบบ
-
ภาษาไทย- th
-
THB - ฿
ประเทศไทยมีความโดดเด่นในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งพลังงานชั้นเลิศ เป็นแหล่งเกษตรกรรมที่มีผลผลิตทางการเกษตรที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งอาหารของโลกเลยทีเดียว นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีความโดดเด่นในด้านแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติที่มีความสวยงาม และวัฒนธรรมที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยิ่งไปกว่านั้นอาหารการกินของไทยที่มีรสชาติกลมกล่อมจากส่วนผสมของผักและสมุนไพรก็ทำให้รสชาติอาหารไทยถูกปากคนจากทั่วโลกไปไม่น้อย ในขณะเดียวกันนิสัยของคนไทยที่มีความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และยิ้มแย้มแจ่มใสนั้นก็เป็นเอกลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดของเมืองไทยจนได้รับสมญานามว่าเป็น “สยามเมืองยิ้ม”
ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยนั้นอยู่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรซึ่งจัดอยู่ในเขตร้อน ทำให้ลักษณะภูมิอากาศของประเทศเป็นแบบร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วประเทศจึงอยู่ที่ระหว่าง 18 - 38 องศาเซลเซียส แบ่งได้เป็น 3 ฤดูกาล ดังนี้ 1. ฤดูร้อน จะเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม 2. ฤดูฝน จะเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมไปจนถึงกลางเดือนตุลาคม 3. ฤดูหนาว จะเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณกลางเดือนตุลาคมไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์
การเดินทางในประเทศไทยทุกจังหวัด ต่างก็มีความสะดวกอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นทางบก สำหรับการเดินทางทางบกนั้นจะมีตัวเลือกการเดินทางหลากหลาย อาทิ รถประจำทาง เช่น รถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า รถตู้ รถสองแถว รวมไปถึงรถไฟฟ้า BTS, MRT และ ARL ส่วนในต่างจังหวัดนั้นจะมีรถทัวร์ รถบัส รถไฟ รถตู้ และมีรถสองแถวให้บริการ สำหรับรถไม่ประจำทางนั้นจะมีให้เลือกทั้ง รถตุ๊ก ๆ รถแท็กซี่ และรถมอเตอร์ไซค์ รวมไปถึงรถเช่าอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทาง สำหรับการเดินทางทางน้ำนั้นจะมีทั้งเรือโดยสารประจำทาง และเรือเหมาลำเพื่อการท่องเที่ยวคอยให้บริการ และสำหรับการเดินทางทางอากาศภายในประเทศนั้นมีสนามบินรองรับการเดินทางทั้งหมดมากถึง 71 สนามบิน และกำลังก่อสร้างอีก 3 แห่ง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเลือกใช้บริการได้ตามความต้องการ
เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจแบบผสม ภาคเอกชนมีบทบาทในการผลิตมากกว่าภาครัฐบาลและมีเสรีภาพในการดำเนินเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นให้มีการแข่งขันในด้านผลผลิตเพื่อพัฒนาคุณภาพของสินค้า ภายใต้กฎหมาย ภายใต้กลไกราคาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ภาครัฐจะสามารถเข้าแทรกแซงภาคเอกชนหากมีกิจกรรมที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายและกลไกราคาที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ส่วนภาครัฐบาลนั้นจะมีบทบาทในการประกอบกิจกรรมที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น เช่น การประปา และการไฟฟ้า เป็นต้น
อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของผู้คนทั่วสารทิศ เนื่องจากประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ติดอันดับโลกและแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังหลายแห่งด้วยกันที่มีมนตร์เสน่ห์ความงาม อาทิ น้ำตกทีลอซู, อุทยานพระพิฆเนศ, วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร, หาดถ้ำพระนาง, หาดไร่เลย์, ถนนข้าวสาร, หาดป่าตอง, หาดพัทยา, พิพิธภัณฑ์ปราสาทสัจธรรม พัทยา, เกาะราชา, เกาะพีพี, เกาะสิมิลัน, เกาะสมุย, เกาะพะงัน, พระธาตุดอยตุง, วัดร่องขุน, วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร, ดอยอินทนนท์ และสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ อีกมากมายที่รอการมาเยือน
อาหารไทย เป็นอาหารประจำชาติที่มีถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติก็ว่าได้ สำหรับอาหารที่ขึ้นชื่อของประเทศไทยและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ผัดไทย, ต้มยำกุ้ง, แกงเขียวหวานไก่, แกงมัสมั่น, ต้มข่าไก่, ข้าวมันไก่, ข้าวผัดกะเพรา, ส้มตำ, ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์, ปอเปี๊ยะทอด และอาหารคาวหวานอื่น ๆ อีกหลากหลายเมนูที่รอการลิ้มลอง
เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ค่าเงินบาทไทยมีการปรับตัวอ่อนค่าจากระดับ 32.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ระดับ 33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมาอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 4 ปี โดยมีแนวโน้มการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา และมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุดถึง 4.8% ซึ่งถือได้ว่าเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดของสกุลเงินในกลุ่มเอเชีย ทั้งนี้หากมีการเข้ามาของนักท่องเที่ยวในประมาณที่เพิ่มมากขึ้น ก็อาจส่งผลให้บัญชีเดินสะพัดมีการขาดดุลลดลง ก็จะทำให้ค่าเงินบาทไทยมีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าได้อีกในอนาคต
ค่าครองชีพในประเทศโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 18,167 บาท ไม่รวมค่าที่พักและหากเลือกเช่าที่พักใจกลางเมืองจะอยู่ที่ราคา 13,777 บาท สำหรับค่าเช่าที่พักบริเวณชานเมืองจะอยู่ที่ราคาประมาณ 7,197 บาทโดยเฉลี่ย ทั้งนี้คนไทยจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 18,504 บาทต่อเดือน สรุปโดยภาพรวมค่าครองชีพรวมค่าที่พักจะอยู่ที่ 25,364 – 31,944 บาท ซึ่งถือได้ว่าสูงกว่ารายรับ ถึง 6,860 – 13,440 บาท ทั้งนี้ทั้งนั้นค่าครองชีพจะขึ้นอยู่กับวิถีการดำรงคชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของแต่ละคน
จากการสำรวจ 4 ปีที่ผ่านมาพบว่าคนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อบุคคลต่อปีสูงมากขึ้นในแต่ละปี ดังต่อไปนี้
ปี 2562 รายได้ของคนไทย จะอยู่ที่ประมาณคนละ 243,705 บาทต่อปี
ปี 2563 รายได้ของคนไทย จะอยู่ที่ประมาณคนละ 224,962 บาทต่อปี
ปี 2564 รายได้ของคนไทย จะอยู่ที่ประมาณคนละ 232,176 บาทต่อปี
ปี 2565 ประมาณการรายได้ของคนไทย จะอยู่ที่ประมาณคนละ 244,838 บาทต่อปี
เศรษฐกิจไทยเป็นอุตสาหกรรมใหม่และเป็นเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาแบบผสม โดยมีรายได้หลักที่สำคัญจาก 4 แหล่ง ได้แก่ รายได้จากภาษีอากร รายได้จากรัฐพาณิชย์ และรายได้จากการขายสิ่งของและการบริการ ซึ่งสามารถคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ดังนี้ ภาคอุตสาหกรรมเป็นสัดส่วน 39.2% ของจีดีพี ภาคเกษตรกรรมเป็นสัดส่วน 8.4% ของจีดีพี ภาคการขนส่งและการค้า ซึ่งเป็นสัดส่วน13.4% และ 9.8% ของจีดีพีตามลำดับ ภาคก่อสร้างและเหมืองแร่เป็นสัดส่วน 4.3% ของจีดีพี ภาคอื่น ๆ (ซึ่งรวมภาคการเงิน การศึกษา โรงแรมและร้านอาหาร) เป็นสัดส่วน 24.9% ของจีดีพี
ประเทศไทยเป็นประเทศที่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในห้าประเทศที่น่าใช้ชีวิตยามเกษียณมากที่สุดในโลกจากนิตยสาร Capital ของฝรั่งเศส และนิตยสาร International Living เนื่องจากประเทศไทยมีค่าครองชีพต่ำ สภาพแวดล้อมและสังคมที่น่าอยู่ มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ และที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ทั้งนี้รัฐบาลยังมีโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Thailand Wellness Sandbox ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสังคมผู้สูงอายุ
ฤดูกาลที่เหมาะกับการท่องเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุดคือช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน หรือประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนเมษายน โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม และช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ ที่มีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น เทศกาลสงกรานต์ งานประเพณีลอยกระทง และเทศกาลกินเจ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวจึงสามารถหมุนเวียนท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปีขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน
ความเจริญรุ่งเรืองไม่ได้ไม่สร้างความสุขให้กับชีวิตเสมอไป แต่กลับกลายเป็นความสงบสุขต่างหากที่เป็นคำตอบของการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสงบสุข ผู้คนมีอัธยาศัยยิ้มแย้มแจ่มใส มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จากผลสำรวจประชาชนทั่วประเทศไทยที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 12,429 คน ในปีพ.ศ. 2556 ได้เลือกจังหวัดที่อยู่อาศัยแล้วมีความสุขมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1. จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีความน่าอยู่มากที่สุดถึง 60.9%
2. จังหวัดพังงา มีความน่าอยู่มากที่สุดถึง 60.7%
3. จังหวัดชัยภูมิ มีความน่าอยู่มากที่สุดถึง 60%
4. จังหวัดปราจีนบุรี มีความน่าอยู่มากที่สุดถึง 57%
5. จังหวัดอุทัยธานี มีความน่าอยู่มากที่สุดถึง 56.6%
อาชีพต่าง ๆ ล้วนใช้ความรู้และความสามารถเฉพาะด้าน ซึ่งฐานเงินเดือนของแต่ละสายอาชีพนั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดแรงงานเป็นหลัก ซึ่งหากใครมีความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอยู่ในขณะนั้นก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงไปด้วย อย่างไรก็ตามจากการรวบรวมข้อมูลฐานเงินเดือนสูงสุดในปีพ.ศ. 2564 ของเว็บไซต์หางานชื่อดังในระดับเอเชียอย่าง JobsDB สามารถสรุปได้ว่าอาชีพที่มีรายได้สูงสุดในปี 2564 ได้แก่
1. งานด้านไอที เช่น โปรแกรมเมอร์ เว็บดีไซน์เนอร์ มีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 23,255-41,122 บาท
2. งานบริการเฉพาะทาง เช่น นักกฎหมาย ล่ามภาษาญี่ปุ่น และเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ธุรกิจ มีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 22,872-39,331 บาท
3. งานโทรคมนาคม เช่น วิศวกรระบบเครือข่าย และเจ้าหน้าที่เทคนิค มีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 22,785-38,612 บาท
4. งานบริการด้านการแพทย์ เช่น เภสัชกร และเจ้าหน้าที่บำบัด มีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 21,945-37,320 บาท
5. งานอีคอมเมิร์ซ เช่น เจ้าหน้าที่บริหารงานลูกค้า และนักวิเคราะห์ธุรกิจ มีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 21,599-35,283 บาท
นับตั้งแต่สถานการณ์โควิด-19 ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลกทำให้คนเป็นจำนวนมากต้องถูกล็อกดาวน์อยู่บ้าน ทำให้เกิดกระแสการทำธุรกิจ Online หรืออีคอมเมิร์ซมากขึ้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ และธุรกิจอื่น ๆ ที่ได้รับความนิยมรองลงมา ได้แก่ ธุรกิจการแพทย์และความงาม เนื่องจากผู้คนหันมาใส่ใจในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพและความงามมากขึ้น ส่วนธุรกิจแพลตฟอร์มหรือธุรกิจตัวกลางทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ลาซาด้า, ช้อปปี้, ฟู๊ดแพนด้า, ไลน์แมน และแกร็บฟู้ด ก็กำลังเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกัน
การลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวหลังช่วงโควิด-19 หรือในช่วงภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน สินทรัพย์ที่อยู่ในประเภทเซฟโซนและยั่งยืนมากที่สุด คงจะหนีไม่พ้นสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่น่าจะเป็นสองตัวเลือกที่มีความมั่นคงมากที่สุด เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมถอย และสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และยังสร้างผลกำไรได้ในอนาคตอีกด้วย
ทำเลทองที่น่าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากที่สุดมีหลายแห่งด้วยกันในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำเลแหล่งธุรกิจอย่างเช่น กรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศ จะมีทำเลที่ติดกับถนนหลักและทางด่วน, ทำเลติดรถไฟฟ้า และทำเลที่อยู่ใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ นั้นเป็นทำเลที่น่าลงทุนมากที่สุด นอกจากนี้ทำเลแหล่งท่องเที่ยวอย่างเช่น ภูเก็ต และพัทยา ในบริเวณที่อยู่ใกล้กับทะเลหรือมองเห็นวิวทะเล ก็ได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในการมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากเช่นกัน ดังนั้นทำเลที่กล่าวมาข้างต้นจึงเหมาะสมในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด เนื่องจากเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจและจะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเอง